บันทึกหนูเปีย ตอน1


บันทึกหนูเปีย ตอน1
by แม่เหมียวsupermomlifecoach 

(หนูเปีย จาก หนังสือเข็มทิศจิตใต้สำนึก โดย ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง)

วันที่ 19 มิ.ย. 54 วันที่สองของการเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศจิตใต้สำนึก Practitioner 7 วัน (18-24 มิ.ย. 54) ขณะที่ครูอ้อยพาทุกคนในคลาสผ่อนคลายเข้าทรานส์เพื่อไปเจอความอึดอัดบางอย่าง และให้ตามเข้าไปดูในความอึดอัดนั้น.. ตอนแรกพยายามคิดถึงเรื่องที่น่าจะเป็นสาเหตุว่า “น่าจะมาจากตอนที่เราทะเลาะกับแม่ตอนนั้น”... เงียบ ... “หรือว่าเป็นตอนที่พ่อดุเราตอนโน้น”...นิ่ง... ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยเริ่มเบื่อที่จะคิด บอกตัวเองว่า “เออ ช่างเหอะ มันจะเป็นอะไรก็ช่าง คิดซะว่ามาเข้าคลาสเพื่อผ่อนคลายตัวเองให้ได้พักผ่อนละกัน”.. มาเลยค่ะ ท่านผู้ชม.. แค่คำว่า “..ละกัน” ในหัวยังไม่จบเลยอ่ะ  เห็นภาพม้วนกระดาษ...ฟรึ่บ .. กางขึ้นมาตรงหน้า .. วินาทีนั้น งง มากกกก ค่ะ มองไปมองมา เห็นตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงผมเปีย ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า นั่งตัวสั่นคุดคู้อยู่บนพื้น รู้สึกกลัวมากกก สั่นสะท้านไปทั้งตัว.. เห็นคุณแม่หน้าบึ้ง ถือไม้เรียวชี้มาที่เรา.. ฉับพลันได้ยินเสียงครูอ้อยแว่วๆ บอกว่า ให้กลับไปดูเหตุการณ์นั้นในตอนที่เราเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้ ... วูบบ.. เหมือนมีพลังอะไรบางอย่างดึงเราออกมาจากหนูเปียคนนั้น ..เสียงครูบอกให้เดินเข้าไปกอดเด็ก ปลอบเค้า... เราเข้าไปกอดเค้าแล้วก็ร้องไห้ๆๆๆ เยอะมาก ไม่ได้พูดปลอบ แต่เหมือนส่งเสียงบอกเค้าในใจว่า “หนูโอเคนะ ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” .. ร้องไห้อยู่อย่างนั้นซักพักนึง..ก็ได้ยินเสียงครูบอกว่าอีกซักครู่จะนับ1-3 เพื่อพาเรากลับมาในห้อง รู้สึกว่าตัวเองลอยห่างออกมาจากเด็กคนนั้น สูงขึ้นๆ ได้แต่ส่งเสียงในใจไปถามเค้าว่า “โอเคนะหนู” ..หนูเปียทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้า หันไปเห็นแม่ ก็ทำหน้างงๆ เหมือนกัน.. ตอนกลับขึ้นมารู้สึกว่าตัวเองร้องไห้เยอะมากจนคนข้างๆ สังเกตเห็นว่าเราคงเข้าไปเจออะไรแน่ๆ เลย แต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง รู้สึกว่าเรื่องมันแรงถ้าเล่าไปเหมือนเป็นการประจานแม่ตัวเอง หลังจากนั้นเรียนไม่รู้เรื่องเลย คิดถึงแต่เรื่องที่เข้าไปเจอ... ตอนเย็นครูซาเวียพาเข้าทรานส์ก่อนกลับบ้าน เข้าไปเจอหนูเปียใส่ชุดกระโปรงสีขาวสวยงาม ยืนสบตาและยิ้มให้เรา .. ขับรถกลับบ้าน ยังรู้สึกงงๆ ไม่รู้ว่านี่เราเคลียร์เรียบร้อยหรือยัง รู้แต่ว่า อยากขับรถไปหาแม่ ไปกอดแม่ บอกรักแม่ แต่ทำไม่ได้เพราะแม่อยู่ไกลเลยได้แค่โทรศัพท์ไปหา บอกรักๆๆๆ จนแม่ตกใจว่าเราเป็นอะไรเนี่ย.. เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองสองวันหนึ่งคืน รู้สึกอึดอัดมาก เหมือนมีเสียงจากข้างในบอกเราตลอดว่า เราไม่แฟร์ที่ไม่แชร์เรื่องนี้กับคนอื่นๆ เค้าอาจจะได้ประโยชน์จากเรื่องของเรา เสียงนั้นต่อว่า ว่าเราเห็นแก่ตัวตลอดเวลา จนถึงช่วงบ่ายของวันหนึ่ง ขณะที่ครูปล่อยให้เราจับคู่ทำแบบฝึกหัดกันอยู่ เรายืนหันหน้าเข้าหาคู่ของเรา พลันสายตาเหลือบไปเห็นครูนั่งว่างอยู่บนเวที(ปกติไม่เคยเห็นครูว่างอยู่เลย ถ้าไม่สอนอยู่ก็จะมีคนคอยห้อมล้อมตลอดเวลา แล้วเราก็จะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้เป็นอะไรมาก คนอื่นที่เค้าทุกข์มากกว่าเราคงอยากคุยกับครู แล้วก็เลยกลายเป็นว่า เราไม่กล้าเข้าไปหาครู) วินาทีนั้นตัดสินใจทันที รีบขอโทษเพื่อนที่เสียมารยาทขณะทำแบบฝึกหัดอยู่ แล้วรีบเดินไปหาครู บอกว่า “ถ้ามีช่วงต่อไปที่ครูอยากให้มีการแชร์กับเพื่อนๆ หนูขอแชร์นะคะ” ตอนนั้นคิดว่าจะพูดเท่านี้ แล้วเวลาที่ครูเรียกให้ออกไปถือไมค์เล่าบนเวทีจะได้เล่าเรื่องนี้ครั้งเดียว รู้พร้อมกันทั้งครูและเพื่อนๆ เลย ไม่ต้องเล่าหลายครั้งเพราะรู้สึกว่าไม่อยากพูดบ่อยๆ มันไม่ดีกับแม่เรา.. แต่ครูไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ได้แต่ยิ้มแล้วก็มองเราด้วยสายตาเมตตาประมาณว่า มีอะไรที่ยังบอกไม่หมดเล่าให้ครูฟังได้นะ.. เราก็ค่อยๆ หลุด เล่าไปเรื่อยๆ ว่าเจออะไรมั่งน้ำตาก็หยดไปด้วย พอเล่าจบ ครูจับมือเราไว้บอกว่า “เหมียวกล้าหาญมากที่มาแชร์เรื่องนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวอีกนับไม่ถ้วน ครูสัญญาว่าหลังจากจบ 7 วันแล้ว เหมียวจะได้รู้ว่าเหมียวได้ให้อภัยแม่แล้วอย่างแท้จริง” .. ตอนนั้นก็งงๆ ประมาณว่า โห มันจะเป็นประโยชน์ขนาดนั้นเลยเหรอ.. แต่ลึกๆ แล้วรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องรู้สึกว่าเราเห็นแก่ตัวอีกต่อไปแล้ว...

Comments

Popular posts from this blog

คาถาคลอดลูกง่าย(องคุลิมานปริตร)

Supermom... Superman..